ข้อความมันชัดเจนแล้ว — ถึงเวลาที่อันเชล็อตติต้องไปได้แล้ว

ก่อนเกมกลางสัปดาห์ที่เบร์นาเบวในรอบ 8 ทีม UCL กับอาร์เซน่อล แฟนราชันชุดขาวมีแค่คำเดียวในหัว — “เรมอนตาด้า”

คำนี้แปลตรงตัวว่า "คัมแบ็ค" และแม้ในอดีต เรอัล มาดริด จะเคยสร้างปาฏิหาริย์กลับมาชนะจากสถานการณ์สุดวิกฤติ แต่ทีมชุดนี้ไม่ใช่แบบนั้น
 

มาดริดแพ้มาก่อน 0-3 จากเลกแรกที่เอมิเรตส์ และแม้จะมีจังหวะที่ทำให้แฟนมีลุ้นนิด ๆ ตอนวินิซิอุสยิงตีเสมอหลังจากซาก้าเพิ่งยิงนำ แต่โดยรวมทั้งเกม พวกเขาไม่มีทรงจะกลับมาได้เลย
 

กลายเป็นฝั่งปืนใหญ่ที่คมกว่า สงบนิ่งกว่า และปิดบัญชีด้วยลูกยิงของมาร์ติเนลลีช่วงทดเจ็บ จบเกมด้วยสกอร์รวม 5-1 และสร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกที่ชนะเรอัล มาดริดได้สองนัดติดที่เบร์นาเบว
 

ทันทีหลังเกม เสียงวิจารณ์ก็เริ่มดังขึ้น และเมื่อราชันไม่ได้ไปถึงรอบรองฯ UCL เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 12 ปี คาร์โล อันเชล็อตติก็หนีไม่พ้นต้องถูกตั้งคำถามอีกครั้ง
 

อันเช่ให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า
“ชีวิตมันมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง เราคุมด้านสว่างมาหลายปี ได้แชมป์มาเพียบ แม้จะตกรอบก็ยังเหลืออีก 3 ถ้วยให้ลุย”
 

แต่ กิเยม บาลาเก้ กูรูบอลสเปนพูดชัด “มาดริดกำลังยืนอยู่ที่ทางแยกใหญ่ ทีมชุดนี้ต้องรีเฟรชใหม่ แพ้อาร์เซน่อลไม่ใช่จุดเริ่ม แต่เป็นการยืนยันว่ามันต้องเปลี่ยนจริง ๆ”

สำหรับอันเช่ — ข้อความมันชัดมาก: ได้เวลาถอยฉากแล้ว
 

ทั้งที่ตอนซัมเมอร์ที่แล้ว แฟนบอลทั่วโลกยังถามกันว่า "ใครจะหยุดมาดริดได้?" หลังคว้าตัวเอ็มบัปเป้มาร่วมทีมแบบฟรี ๆ แต่ตอนนี้ไม่เหลือความน่าเกรงขามอะไรเลย
 

หลุดบัลลังก์ UCL โดนถล่ม 5-1 รวมสองนัด แถมในลีกก็ตามบาร์ซ่าอยู่ 4 แต้ม ฤดูกาลนี้กำลังถูกมองว่า "ล้มเหลว"
 

แมตธิว อัพสัน อดีตกองหลังปืนโตบอกว่า “ทีมมาดริดชุดนี้ต่ำกว่ามาตรฐานที่แฟน ๆ คาดหวัง ผมไม่แปลกใจถ้าจะมีการเปลี่ยนแปลงเร็ว ๆ นี้”
 

แม้อันเช่จะเคยคว้า 11 แชมป์รอบสองที่คุมมาดริด รวมถึง UCL, ลาลีกา และแชมป์สโมสรโลก แต่สัญญาที่มีถึง 2026 อาจไม่ได้อยู่ยาวอย่างที่คิด เพราะเจ้าตัวก็เปรยเองว่า
"จะปลดเมื่อไหร่ก็ได้ จะพรุ่งนี้ 10 วัน เดือนหน้า หรือปีหน้า ผมก็พร้อมยอมรับ"
 

แม้ผลงานจะดูดีบนกระดาษ แต่อย่างที่ บาลาเก้ พูดไว้ว่า
"อันเช่เหมาะกับทีมที่มีซูเปอร์สตาร์ ไม่ต้องโค้ชเยอะ แค่คุมอารมณ์ห้องแต่งตัวให้ได้ก็พอ แต่ฟุตบอลยุคนี้ มันไม่ใช่แค่นั้นแล้ว"
 

ในเกมใหญ่ มาดริดวิ่งน้อยกว่าคู่แข่ง ตัวสำรองมีแต่ไม่ค่อยได้ใช้ เด็กใหม่อย่างอาร์ด้า กูเลอร์, บราฮิม ดิอาซ หรือแม้แต่เอ็นดริก ก็แทบไม่ได้โอกาส
 

ตัวหลักเหนื่อยล้า ทั้งร่างกายและจิตใจ แฟนบอลเริ่มหมดศรัทธา
 

หลายคนอาจมองว่าถ้าไล่อันเช่ออกตอนนี้ อาจจะใจร้อนไป แต่ในสนามมันบอกทุกอย่าง
 

ทั้งสองเลกกับอาร์เซน่อลเล่นได้แย่ ขนาดเกมในบ้านยังยิงตรงกรอบครั้งแรกเอาตอนนาทีที่ 55
 

แถมยังต้องพึ่งความผิดพลาดของวิลเลี่ยม ซาลิบา ถึงจะยิงตีเสมอได้
 

"ไม่มีแผน ไม่มีรูปแบบ เกมนี้เละเทะสุด ๆ" — จูเลียง โลรองส์ พูดตรง ๆ
 

บาลาเก้ก็เสริมว่า “สัญญาณมันมีมานานแล้ว เกมนี้เหมือนระเบิดลูกใหญ่ระเบิดออก สภาพทีมเหมือนวิ่งหมดน้ำมัน”

ตอนนี้มาดริดต้องคิดหนัก เพราะฤดูกาลหน้าเริ่มมีแผนแล้ว เช่นการคว้าเทรนต์จากลิเวอร์พูล
 

แต่ก็ต้องตัดสินใจเรื่องตัวหลักหลายคนด้วย — วินิซิอุสจะเก็บไว้ไหม? โรดรีโก้ควรปล่อยหรือเปล่า? เพราะแนวรุก 4 คนเล่นด้วยกันไม่ได้
 

กองกลางก็ต้องยกเครื่องใหม่ โครสไม่มีใครแทนได้จริง โมดริชแม้ยังเก๋าแต่ก็อายุ 39 แล้ว
 

บาลาเก้ปิดท้ายว่า:
“เรอัล มาดริดต้องตัดสินใจใหญ่ในซัมเมอร์นี้ ถ้าอยากกลับไปเป็นทีมลุ้นแชมป์ยุโรปอีกครั้ง”

รูปจาก https://www.premierleague.com/
ข่าวจาก https://www.bbc.com/