แฟรงค์ แลมพาร์ด : กองกลางยุคใหม่ที่นิยามคำว่า “มิดฟิลด์ยิงประตู”
แลมพาร์ดย้ายจากเวสต์แฮมมาสู่ เชลซี ในปี 2001 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ เขาไม่ได้รวดเร็วสุด ไม่ได้ตัวใหญ่ที่สุด แต่เขาเป็น “นักเตะที่มีวินัยกับตัวเองมากที่สุดคนหนึ่งในรุ่น” แลมพาร์ดมีความเข้าใจพื้นที่ที่ล้ำหน้า เขารู้ว่าจะต้องสอดเข้าไปตรงไหน ยิงจังหวะไหน หรือรอบอลตกในพื้นที่ว่างแบบไหน มันคือสัญชาตญาณที่ฝึกได้ยากแต่เขาทำได้อย่างเนียนตา
ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ แลมพาร์ดก้าวสู่การเป็นหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลก เขาไม่ใช่เพียงคนคุมเกม แต่คือ “ตัวจบสกอร์คนที่สอง” ที่ทีมพึ่งพาได้ตลอดเวลา ฤดูกาล 2004–05 และ 2005–06 เชลซีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกติดต่อกัน แลมพาร์ดยิงรวมกว่า 30 ประตูจากตำแหน่งกองกลาง ตัวเลขที่แทบไม่มีใครทำได้ในยุคที่ยังไม่มีคำว่า False 9 หรือมิดฟิลด์เชิงรุกแบบปัจจุบัน
ประตูที่แฟนบอลจำได้ไม่ลืม เช่น การยิงไกลใส่บาเยิร์น, ยิงสองประตูใส่โบลตันที่พาเชลซีคว้าแชมป์ลีกแรกในรอบ 50 ปี, หรือความนิ่งยามหลุดเดี่ยว แลมพาร์ดไม่ใช่นักเตะที่หวือหวา แต่คือคนที่มี “ความแน่นอน” มากที่สุดคนหนึ่งในตำแหน่งนี้
ตลอดเส้นทางกับเชลซี เขายิงไปทั้งหมด 211 ประตู กลายเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของสโมสร ทั้งที่ “เขาไม่ใช่กองหน้า” นี่คือสิ่งที่ทำให้ชื่อของเขาถูกจารึกอย่างยิ่งใหญ่ เพราะไม่มีกองกลางอังกฤษคนไหนยิงประตูได้มากเท่านี้อีกแล้ว
นอกสนาม แลมพาร์ดเป็นตัวอย่างของนักฟุตบอลที่ใช้สมอง เขาอ่านเกมเก่ง วิเคราะห์สถานการณ์เก่ง และเป็นคนที่โค้ชไว้วางใจให้คุมจังหวะในเกมใหญ่ ๆ เสมอ ผลงานในทีมชาติอังกฤษก็โดดเด่น เขาเป็นหนึ่งในแผงกองกลางยุคทองร่วมกับเจอร์ราร์ดและสโคลส์ แม้ทีมชาติจะไม่ถึงฝัน แต่ฝีเท้าของเขาไม่เคยถูกลดทอน
สิ่งที่ทำให้แลมพาร์ด “ต่างจากกองกลางทั่วไป” คือความสม่ำเสมอ เขายิงเลขสองหลักตลอด 10 ฤดูกาลติดกัน ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งเป็นสถิติที่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้พีคแค่ช่วงสั้น ๆ แต่เป็นนักเตะที่รักษามาตรฐานสูงสุดได้ยาวนาน
ต่อมาเมื่อผันตัวเป็นผู้จัดการทีม เขายังคงสะท้อนบุคลิกเดิมจริงจัง มีวินัย และรักเกมนี้อย่างลึกซึ้ง แม้เส้นทางโค้ชจะยังไม่ปังกว่าสมัยค้าแข้ง แต่ชื่อของเขายังคงเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ
แฟรงค์ แลมพาร์ด จึงไม่ใช่แค่กองกลางที่ยิงประตูได้เยอะ
แต่คือผู้ที่นิยามบทบาทนี้ใหม่ และพิสูจน์ว่ามิดฟิลด์ก็สามารถเป็น “พระเอกของทีม” ได้อย่างแท้จริง